วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

คณะผู้จัดทำ

รายชื่อผู้จัดทำ

1.นายธนภัทร             วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา  เลขที่ 7


2.นางสาวชนนิกานต์   แก้วกันยา               เลขที่ 10


3.นางสาวแก่นสุพรรณ ใจสุภาพ                เลขที่ 14


4.นายนพรัตน์             เพ็ชรไทย               เลขที่ 19


5.นางสาวกนกพร       หอมภักดี                เลขที่ 20


6.นางสาวมริสสา        เกื้อกอบ                 เลขที่ 23


7.นายคุณภัทร            แสนดวงดี              เลขที่ 34


8.นางสาวอภิชญา       ชัยญะคำ               เลขที่ 35


นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1


ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2554 


โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า









วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

สุดยอดงานประติมากรรมของคนรุ่นใหม่










  Ron Mueck เป็นศิลปินร่วมสมัยระดับแถวหน้าคนหนึ่่งของโลก เกิดที่


เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียในครอบครัวนักประดิษฐ์ของเล่นเมื่อปี


1958 เขาทำงานสร้างหุ่นกระบอกให้รายการโทรทัศน์สำหรับเด็กเป็น


เวลาถึง 15 ปี ก่อนที่จะหันมารับงานทำสเปเชี่ยลเอฟเฟคให้กับ


ภาพยนตร์ เช่นเรื่อง Labyrinth(1986) ซึ่งนำแสดงโดยเดวิด โบวี่ และ


เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่(ซึ่งในสมัยนั้นยังสาวและสวยมากๆ) ต่อมา


Ron Mueck ย้ายมาก่อตั้งบริษัทรับสร้างแบบจำลองสำหรับใช้ในงาน


โฆษณาในกรุงลอนดอน เขาได้เก็บพวกหุ่นตุ๊กตาที่เขาเคยสร้าง


สำหรับงานโฆษณาเอาไว้มากมายเต็มบ้าน และเริ่มรู้สึกว่าหุ่นแต่ละตัว


นั้นมีลักษณะท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าสนใจเกินกว่าที่จะ


สร้างขึ้น เพียงเพื่อใช้ถ่ายเป็นภาพสำหรับงานโฆษณาเพียงไม่ีกี่มุมซึ่ง


ถือว่าน่าเสียดายและเสียของเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงหันมาทำงาน


ด้านวิจิตศิลป์และปฏิมากรรมแบบศิลปินเต็มตัว ..ในต้นยุค90ซึ่งเขาก็


ยัง คงเกี่ยวข้องกับงานโฆษณานั้น เขาได้ถูกว่าจ้างให้สร้างหุ่นจำลอง


ที่ต้องการความเหมือนจริง ในระดับสูง ซึ่งเขาก็มานั่งคิดว่าควรจะใช้


วัสดุอะไรทำดี ปกติแล้วมักจะใช้วัสดุที่เรียกว่าลาเท็กซ์ แตในกรณีนี้่


เขาอยากได้อะไรอื่นที่มันมีความแข็งแรงและดูประณีตแนบเนียนกว่า


เดิม โชคดีที่วัน หนึ่งเขาเดินไปเห็นการตกแต่งเชิงสถาปัตยกรรมใน


ร้านบูติกแห่งหนึ่ง และสืบทราบว่าวัสดุที่มี ลักษณะธรรมชาติออกเป็น


สีชมพูที่ดูดีชิ้นนี้คือสิ่งที่เรียกว่า ไฟเบอร์กลาสเรซิ่น และนั่นก็เป็นจุด


เริ่มต้นของการสร้างงานปฏิมากรรมอันน่าขนลุกของเขาในเวลาต่อมา


ซึ่งผลงานเหล่านี้ล้วนแต่เป็นที่ต้องการของเหล่าแกลเลอรี่และ


พิพิธภัณฑ์ชั้นนำทั่วไป เรามาดูผลงานชิ้นเด่นๆของเขาที่จัดแสดงไว้ที่




พิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์คกันดีกว่า...





เปิดประตูมาเจอแบบนี้ ถ้าเป็นของจริงละก็ตัวใครตัวมันนะ!!!




เดี๊ยนจะนอน แล้วพวกคุณมามุงดูทำไมเคอะ?



ต้องดูใกล้ๆ จะได้เห็นรายละเอียดชัดๆ



พี่ๆ ยืนอ่านอะไรเพลิน ระวังข้างหลังนะ !!



จุ๊ๆๆ ดูเงียบๆนะ เดี๋ยวน้าแกจะตื่น



สงสัยกำลังเล่นเก้าอี้ดนตรีกันนะ แต่ใครล่ะจะกล้าเข้าไปแย่งเก้าอี้กับคุณพี่เครายาวผู้นี้!!





น่าจะปั้นหุ่นเด็กวัยรุ่นคนนี้ให้้หน้าเหมือนมาริโอ เมาเร่อ แล้วเอามาตั้งในสยาม




แต่เมื่อมองจากมุมนี้แล้วก็คล้ายเหมือนกันนะ





ช่วยดูให้เป็นงานศิลปะด้วยนะครับ !

 










ห่มไปห่มมาก็เลยป่องกลางแบบนี้ล่ะจ้ะเด็กๆ




เกิดเป็นหญิง แท้จริงนั้นแสนลำบาก




แล้วหนูก็เกิดมาได้ด้วยประการฉะนี้





ใครก็ได้ช่วยมาตัดสายสะดือให้หนูที!!




ชาติปิทุกขัง ..การเกิดนั้นเป็นทุกข์



กำลังจะเริ่มตั้งไข่ นี่แหละที่มาของหน้าแอ๊บแบ๊วของแท้



รูปปั้นชิ้นนี้ชื่อ พิน็อคคิโอ เสร็จในปี 1996





ดูกันให้ชัดๆกับความพิเศษของไฟเบอกลาสเรซิ่นที่ดูแล้วเหมือนผิวคนจริงๆ




คงเผลอทำกระป๋องสีดำหกใส่ก็เลยออกมาแบบนี้




รูปนี้ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี


นี่แหละคู่ต่อสู้ของสไปเดอร์แมนภาค4 ..มนูษย์จิงโจ้!



จ้องอยู่ได้ ผมอายนะเจ๊ !!




นี่ๆๆ.. ผู้ชายคนที่ใส่หมวกโ่น่นน่ะท่าทางจะปิ๊งฉันล่ะเธอ !!




ชราปิทุกขัง ..ความแก่ก็เป็นทุกข์..



มรณัมปิทุกขัง ..ความตายก็เป็นทุกข์.. ผลงานชิ้นนี้ชื่อ Dead Dad 




ถ้าทำความดีเยอะๆ ตายแล้วก็จะเป็นเทวดาแบบนี้ละมั้ง?


ขอบคุณ : http://ripley.exteen.com/20071203/ron-mueck

ประติมากรรม


 

ประติมากรรมคืออะไร




ประติมากรรมคืออะไรประติมากรรมเป็นศิลปะปกรรมประเภทหนึ่งที่


เกิดขึ้นด้วยการปั้น การแกะสลัก การหล่อหรือวิธีการอื่นๆ ที่ทำให้เกิด


ความงดงาม ศิลปะที่มี 3 มิติ คือ มีความกว้าง ยาว และลึกหรือหนา


งานประติมากรรมอาจทำด้วยวัสดุหลายชนิด เช่น หิน ไม้ ดินเหนียว


ปูน อิฐ และโลหะ เป็นต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ประติมากรรม คือ งาน


ศิลปะที่สร้างขึ้นมาเป็นรูปเป็นลวดราย สามารถมองเห็นได้และกิน


ระวางเนื้อที่ในอากาศ หรือกล่าวโดยสรุป ประติมากรรมก็คืองาน


ศิลปกรรมที่สร้างขึ้น โดยวิธีการปั้น การแกะสลัก การหล่อหรือด้วยวิธี


การอื่นใดก็ตาม เป็นรูปที่มองเห็นได้ มีปริมาตร ส่วนรูปแบบขชอง


ประติมากรรมนั้น อาจจะมีรูปร่างของมนุษย์ สัตว์ และสิ่งอื่นๆ หรือเป็น


ลวดลายสัญลักษณ์ซึ่งอาจจะทำขึ้นเหมือนกับรูปตามธรรมชาติของสิ่ง


นั้นๆ หรืออาจจะเป็นรูปแบบใหม่ที่ผู้สร้างคิดประดิษฐ์ขึ้นเพื่อผลงาน


ทางศิลปะ ความงาม และความนึกคิดต่างๆ ที่ผู้สร้างต้องการจะให้เกิด


ประติมากรรมนั้น

คตีกวีเอกของโลก






คีตกวีเอกของโลก



โชแปง มีฉายาว่า กวีแห่งเปียโน (Piano Poet) เพราะเขารักเสียง

เปียโนเป็นชีวิตจิตใจ เขาเกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.1810 ใกล้

กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ บิดาเป็นชาวฝรั่งเศส มารดาเป็นชาว

โปแลนด์ เขาจึงเป็นชาวโปแลนด์ตามเชื้อสายของแม่ เขามีพี่น้อง

ผู้หญิงอีก 3 คน พ่อแม่จึงรักเขามากเพราะเขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว 

ครอบครัวของเขาเคยมีฐานะดีมาก่อนแต่มายากจนในภายหลัง

เมื่อโชแปงอายุได้ 2-3 เดือน พ่อแม่ก็ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่วอร์ซอ พ่อ


ไปเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศส โชแปงเริ่มเรียนเปียนโนเมื่ออายุได้ 6

ขวบกับ Adalbert Zywny ครูผู้ชื่นชอบดนตรีของ Bach , Mozart และ

Beethoven แต่ภายหลังได้เปลี่ยนมาเรียนกับ Joseph Elsner ซึ่งเป็นครู

เปียโนโดยตรง

โชแปงได้แสดงเปียโนต่อหน้าสาธารณชนตั้งแต่อายุ 7-8 ขวบ ทุกคน


เลื่องลือในความสามารถอันมหัศจรรย์ของเขา นิ้วที่พลิ้วไหว และเสียง

ดนตรีที่มีอารมณ์ทำให้ผู้คนร่ำลือ เขาได้แสดงต่อๆมาอีกหลายครั้งทั่ว

ยุโรป จนกระทั่งครั้งหนึ่งพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียถึงกับประทานแหวน

เพชรให้

โชแปงเป็นคนรูปร่างบอบบาง อ่อนแอ เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหวง่าย มี


ความรู้สึกรักชาติ รักมาตุภูมิมาตั้งแต่เด็กเพราะ เขาได้เห็นภาพที่ทหาร

ปรัสเซีย (เยอรมัน) ออสเตรียและรัสเซีย เข้ารุกรานประเทศบ้านเกิด

เมืองนอนของเขา แทบทุกวันที่โชแปงมองออกไปนอกบ้านเขาจะ

เห็นทหารรัสเซียฉุดกระชากทุบตีนักโทษชาวโปแลนด์ที่ผอมโซ ผู้ซึ่ง

ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ ต่อต้านระบบทรราชย์ และกำลังจะถูกเนรเทศ

ไปอยู่ไซบีเรีย

ความรู้สึกหดหู่คับแค้นใจอันนี้เกิดเป็นแรงบันดาลใจทำให้เขาเขียน


เพลงเพื่อมาตุภูมิของเขา กล่าวกันว่าเพลงชิ้นแรกที่เขาประพันธ์เมื่อ

อายุ 7 ขวบ คือ Polonaise in G Minor แต่เพลง Polonaise ที่มีชื่อเสียง

ของเขา คือ POLONAISE IN A-FLAT MAJOR, OPUS 53

เมื่อเขาเริ่มเป็นหนุ่มอายุประมาณ 19 ปี ในปี ค.ศ. 1829 เขาไปหลงรัก


ผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ คอนสทันย่า ( Constantia Gladkowska ) 

โชแปงเกิดความรักจนมีแรงบันดาลใจให้เขียนเพลงท่อนที่เรียกว่า

 ลาร์เก็ตโต ( Larghetto ) ในผลงาน Piano Concerto No.2 in F minor

ในราวสองปีต่อมา คอสทันยาของเขาก็แต่งงานไปกับพ่อค้าผู้มั่งคั่ง


แห่งวอร์ซอว์

ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่โชแปงรักและเธอก็รักเขา คือ มาเรีย ว้อดซินสก้า


ซึ่งเป็นน้องสาวของเพื่อนที่เคยเรียนหนังสือมาด้วยกันตอนเด็กๆ 

โชแปงมาพบมาเรียที่เมือง เดรสเดน ประเทศเยอรมัน และโชแปงได้

แต่งเพลง Nocturne No.1 Bb ให้แก่เธอ

เมื่อโชแปงกลับจากเดรสเดนแล้ว เขาแต่งเพลงเกี่ยวกับความทรงจำ


ของเขาที่นั่น คือเพลง BALLADE No 1in G Minor Opus 23 ซึ่งเป็น

ที่เข้าใจกันได้ว่า มาเรีย วอดซินสก้า คือเนื้อหาของเพลงนี้ และเมื่อ

ชูมันน์ได้ฟังเพลงนี้ก็ลงความเห็นว่ามันเป็นเพลงที่งดงามมาก

ในภายหลังมาเรียได้แต่งงานไปกับท่านเคาน์โยเซฟ สตาร์เบค แต่ไม่


มีความสุขในชีวิตสมรส จนเวลาล่วงเลยไปถึง 7 ปี เธอจึงเลิกกับสามี

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1830 โชแปงต้องเดินทางออกนอก

ประเทศโปแลนด์เนื่องจากเขาเป็นบุคคลหนึ่งที่ปลุกระดมให้ชาว

โปแลนด์ต่อต้านการครอบครองของออสเตรียและรัสเซีย

พ่อแม่ พี่น้อง อาจารย์และเพื่อนๆเศร้าใจกับการที่เขาต้องจากไป จึง


ได้มอบก้อนดินของโปแลนด์ให้เขาเอาติดตัวไป และก้อนดินก้อนนั้น

โชแปงได้เก็บไว้จนวาระสุดท้ายของชีวิต


เมื่อเขาเดินทางจากโปแลนด์ไปอยู่ฝรั่งเศส เขาหลงใหลในตัวแม่ม่าย


ลูกติด นักเขียนชาวฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1837 โชแปงได้เริ่มมีความ

สัมพันธ์กับยอร์ช ชังค์นักประพันธ์ผู้กำลังมีชื่อเสียง ชื่อจริงของเธอ คืด

  ออโรร์ ดือ เดอวองต์ ผู้มีอายุแก่กว่าโชแปงถึง 6 ปี หล่อนเขียนบท

ความลงในหนังสือพิมพ์ ฟิกาโร และ เรอวู เดอ ปารีส์ หล่อนชอบสวม

เสื้อผ้าแบบผู้ชาย และสูบซิการ์ มีลูกติดสองคน และชอบเปลี่ยนคนรัก

อยู่บ่อยๆ โชแปงประทับใจในความเก่งกล้าสามารถ และความเข้มแข็ง

เด็ดเดี่ยวของเธอ เขาทั้งสองหลบไปอยู่ด้วยกันอย่างเงียบๆ และก็ได้

ทำให้โชแปงได้ละเลยเรื่องการงานทางด้านดนตรีไปมาก ซึ่งก็อาจ

เป็นเพราะอารมณ์อันอ่อนไหวของเขานั่นเอง

แล้ววันหนื่งเพื่อนและอาจารย์ Joseph Elsner ได้เดินทางมาหาเขาที่


ปารีส ขอร้องให้โชแปงช่วยแสดงคอนเสิร์ตเพื่อหาเงินไปช่วยเหลือ

ชาวโปแลนด์ที่ต่อสู้เพื่อเอกราช

แต่ในที่สุดเสียงเรียกร้องของความรักชาติ ก็กระตุ้นให้โชแปงได้หวน


กลับมาแสดงคอนเสิร์ตเพื่อหาเงินไปช่วยพี่น้องชาวโปแลนด์ของเขา 

แม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากยอร์ชชังค์ก็ตาม โชแปงได้ทราบข่าว

การเสียชีวิตของเพื่อนร่วมชาติอีกครั้ง ทำให้เขาต้องหยิบก้อนดินจาก

โปแลนด์ที่เพื่อนมอบไว้ให้เขาขึ้นมากำอย่างปวดร้าวใจ

“ ดินก้อนนี้ ตีตุสและพี่น้องได้ให้แก่เรามาเมื่อวันที่เราจะจากโปแลนด์


  เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้เราระลึกถึงเสียงร่ำไห้ของพี่น้องชาว

โปแลนด์ที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อเตือนให้เราขะมักเขม้นทำงานเสียสละ

เพื่อช่วยชาติ แต่เราได้ลืมคำสัญญาและคำสาบานของเราเสียสนิท แต่

นี้ไปเราต้องปฎิบัติตามคำสาบาน” เขากล่าวพร้อมกับยกก้อนดินขึ้นจูบ


            ดังนั้นในปี ค.ศ.1848 เขาจึงออกตระเวณแสดงคอนเสิร์ตไป


ตามเมืองหลวงของประเทศต่างๆ ลอนดอน แมดริด เวียนนา บาร์เซโล

น่า บรัสเซลส์ และเบอร์ลิน เพื่อนำเงินไปช่วยพี่น้องชาวโปแลนด์ต่อสู้

เพื่อเอกราช


ต่อมาในปี ค.ศ.1847 ความสัมพันธ์ของโชแปงกับยอร์ชชังด์ ก็สิ้นสุด


ลง เนื่องจากลูกชายของเธอยิ่งไม่ชอบโชแปงขึ้นทุกวัน และสุขภาพ

ของโชแปงก็เสื่อมทรุดลง เขามีอาการไอเป็นเลือดอยู่บ่อยๆ เพราะเขา

เป็นวัณโรคมาตั้งแต่อยู่โปแลนด์แล้ว เดอลาครัวซ์และเพื่อนๆได้มาพบ

เห็นโชแปงในสภาพที่ร่างกายทรุดโทรมและยากลำบากทางการเงิน 

พวกเขาจึงพากันช่วยเหลือ

พอวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1849 โชแปงก็อาการหนัก ลุกไม่ไหวและพูด


ไม่ค่อยได้แล้ว เขาขอให้เพื่อนๆช่วยเล่นเพลง “เรควิม” ( Requiem )

ของโมสาร์ทในงานศพของเขา และเขาได้กล่าวอำลาเพื่อนๆทุกคน 

และในที่สุด ใกล้จะรุ่งอรุณของวันที่ 17 ตุลาคม เขาก็สิ้นชีวิต เขามี

อายุเพียง 39 ปีเท่านั้น

งานศพของเขาที่ปารีส ใช้เวลาเตรียมงานศพถึง 13 วัน เพราะต้อง


เตรียมเรื่องนักร้องประสานเสียงที่จะมาร้องเพลง รีควีมของโมสาร์ท 

ซึ่งเป็นเพลงที่โชแปงชอบมาก ขบวนแห่ศพอันยาวเหยียดได้เริ่มขึ้น มี

การกล่าวสุนทรพจน์ตามประเพณีนิยม และในขณะที่โลงศพถูกหย่อน

ลงในหลุม ดินจากโปแลนด์ที่โชแปงได้เก็บรักษาไว้จนวาระสุดท้าย

ของชีวิตก็ได้ถูกโปรยลงไปในหลุมฝังศพด้วย





ที่หลุมฝังศพของเขามีคำจารึกว่า

พักอยู่ในความสงบ
วิญญาณอันงาม
ศิลปินผู้สูงส่ง
ความไม่มีวันตาย
ได้เริ่มขึ้นแก่ท่านแล้ว


มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่นำเอาเพลงของโชแปงไปประกอบ เช่น The
 Lover , The Pianist ฯลฯ


คีตกรรม



ดนตรี คือ เสียงที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ และมีแบบแผนโครงสร้าง

เป็นรูปแบบของกิจกรรมเชิงศิลปะของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง โดย

ดนตรีนั้นแสดงออกมาในด้านระดับเสียง (ซึ่งรวมถึงท่วงทำนองและ


เสียงประสาน) คุณภาพเสียงจังหวะ และ (ความต่อเนื่องของเสียง พื้น


ผิวของเสียง ความดังค่อย) ดนตรีนั้นสามารถใช้ในด้านศิลปะหรือ


สุนทรียศาสตร์ การสื่อสาร ความบันเทิง รวมถึงใช้ในงานพิธีการต่างๆ

องค์ประกอบของดนตรี



  1. จังหวะหรือลีลา (rhythm)
  2. ระดับเสียง (pitch)
  3. ความดัง (volume/ intensity)
  4. ทำนองเพลง (melody)
  5. การประสานเสียง (harmony)

ประเภทของงานศิลปะ



ศิลปะแบ่งตามจุดมุ่งหมายได้ 2 ประเภท


 คือ วิจิตรศิลป์ และประยุกต์ศิลป์ วิจิตรศิลป์สร้างขึ้นเพื่อความสวยงาม ประยุกต์ศิลป์สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยและความงาม

1.วิจิตรศิลป์


1.1จิตรกรรม
1.2ประติมากรรม
1.3สถาปัตยกรรม
1.4วรรณกรรม
1.5คีตกรรม 



  2. ประยุกต์ศิลป์

  2.1 มัณฑนศิลป์
  2.2อุตสาหกรรมศิลป์
  2.3พาณิชย์ศิลป์
  2.4การออกแบบ



Nocturne in C minorOp48 no1

ความหมายและที่มา






ความหมายและที่มาของศิลปะสากล

                ศิลปะสากล มีพื้นฐานมาจากศิลปะตะวันตก ได้วิวัฒนาการมาหลายยุคหลายสมัย มีอิทธิพลไปยังชาติต่าง ๆ ในโลกอย่างกว้างขวางมาก จนปัจจุบันชาติต่าง ๆ มีศิลปะที่สร้างขึ้นโดยทั่วไปเป็นแบบศิลปะสากลแทบทั้งสิ้น เพราะคำว่า “สากล” มีความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานว่า “ทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั่วไป และระหว่างประเทศ” ศิลปะสากลจึงเป็นศิลปะที่มีการผสมผสานแนวความคิดตลอดจนรูปแบบต่าง ๆ ไว้อย่างกว้างขวาง การใช้วัสดุ อุปกรณ์ และวีธีการสร้างสรรค์ได้โดยอิสระ ผลงานที่ปรากฏออกมาไม่ยึดถือแบบอย่างของประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อคนชาติอื่นมองแล้วเข้าใจในผลงานนั้น ๆ ได้เพราะมีความเป็นนานาชาติ แตกต่างไปจากศิลปะประจำชาติ เช่น ศิลปะไทยหรือศิลปะอินเดีย และศิลปะของชนชาติอื่น ๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น หรือของชนชาตินั้นอย่างชัดเจน

                ถ้าจะเปรียบเทียบกับศิลปะไทยซึ่งมีเอกลักษณ์ของไทยโดยเฉพาะ ได้แก่ การใช้เส้นอย่างอ่อนช้อย สวยงาม ระบายด้วยสีเรียบ ๆ ลักษณะท่าทางต่าง ๆ จะเหนือความเป็นจริง เป็นศิลปะแบบอุดมคติ (IDEALISTIC) ส่วนศิลปะสากลจะมีความงามตามแนวความคิดไปอีกหลายลักษณะ

                ศิลปะที่มีแบบเป็นสากลนี้เริ่มตั้งแต่ยุคสมัยใหม่ (M0dern Period) เพราะยุคสมัยนี้โลกมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัฒนธรรม สังคม การคมนาคม และจากเทคโนโลยีแผนใหม่อีกหลายด้าน ผู้ที่ทำงานศิลปะยังได้มีการค้นคว้าหารูปแบบและวิธีการใหม่ ๆ ออกไปอีก ศิลปะแบบสากลมีความก้าวหน้ามาก ในราวศตวรรษที 19 ณ ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นศูนย์กลางของศิลปะสากล เรียกระยะนี้ว่า “อิมเพรสชั่นนิสม์” (Impressionism) เป็นระยะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากศิลปะสมัยเก่ากับศิลปะสมัยใหม่ ศิลปะในระยะนี้จึงเรียกว่า “ศิลปะสมัยใหม่” (Modern Art) ได้แพร่ขยายออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั้งในยุโรป อเมริกา และเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทยเราได้เริ่มสร้างสรรค์งานศิลปะที่เป็นแบบสากลในยุคสมัยของอาจารย์ศิลปะ พีระศรี มีศิลปินของไทยหลายคนได้สร้างสรรค์งานศิลปะแบบสากลได้อย่างมีคุณค่าเช่นเดียวกับผลงานของศิลปินประเทศอื่น ๆ ได้เช่นกัน

คุณค่าของศิลปะสากล

                ศิลปะสากลนั้นได้แพร่หลายไปยังชาติต่าง ๆ อย่างมากมาย ทำให้ศิลปินหลายชาติได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะสากลอย่างมีคุณค่า ดังนี้

1.ศิลปะสากลเป็นศิลปะที่แสดงถึงความเป็นกลาง โดยอาศัยเทคนิควิธีการตามแนวเดียวกัน เช่น การใช้เส้น สี แสงเงา เป็นต้น

2.มีการแสดงออกอย่างกว้างขวาง ไม่แสดงออกเพียงลักษณะของชาติใดชาติหนึ่ง

3.เป็นสื่อความหมายสร้างความเข้าใจร่วมกันโดยทั่วไป ตามแนวความคิดและความเชื่อร่วมกันในสังคม

4.ผู้สร้างสรรค์มีโอกาสแสดงออกได้อย่างอิสระ ไม่จำกัดอยู่ในขอบเขต และกฎเกณฑ์ที่ตายตัว

5.ผู้ชมผลงานมีโอกาสชื่นชมได้อย่างกว้างขวางตามแนวความคิด เทคนิควิธีการที่ก้าวหน้า

รูปแบบของศิลปะสากล

                ศิลปะสากลได้แบ่งรูปแบบออกตามลักษณะของงานที่สร้างสรรค์ได้ 3 รูปแบบ คือ

1.  รูปแบบทางรูปธรรม เป็นผลงานศิลปะสากลที่แสดงรูปแบบที่มีรูปภาพหรือรูปร่างลักษณะว่าเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ฯลฯ เป็นผลงานที่จำเป็นต้องศึกษารูปแบบ ลักษณะของสิ่งต่าง ๆ ที่จะเขียนอย่างละเอียด ศิลปินอาจถ่ายทอดผลงานออกมาอย่างเหมือนของจริงโดยประสานความรู้สึกของตนเองออกมาด้วย เพื่อให้เกิดคุณค่าทางศิลปะ ใกล้เคียงธรรมชาติ แสดงเรื่องราวด้วยรูปแบบที่เหมือนจริงด้วยเทคนิค และวิธีการต่าง ๆ

2.  รูปแบบกึ่งนามธรรม เป็นผลงานศิลปะสากลที่แสดงรูปแบบจากธรรมชาติโดยนำสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติมาดัดแปลงใหม่ ด้วยวิธีลดตัดทอนรายละเอียดหรือบางส่วนที่ไม่ต้องการออก อาจจะเหลือเพียงเค้าโครงของสิ่งนั้น ๆ จึงเป็นงานศิลปะสากลอีกลักษณะหนึ่ง

3.  รูปแบบทางนามธรรม เป็นผลงานศิลปะสากลที่แสดงรูปแบบที่ไม่แสดงรูปทรงของวัตถุสิ่งของหรือเรื่องราวที่เป็นจริง ศิลปินจะสร้างสรรค์ขึ้นด้วยอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด ให้เกิดรูปทรงอย่างอิสระ อาจจะแสดงออกถึงลีลา การเคลื่อนไหวด้วยเส้น รูปร่าง รูปทรง สี ฯลฯ ตามแนวความคิดจินตนาการของศิลปิน เรียกว่า “ศิลปะแบบนามธรรม” (Abstract Art)

                ศิลปะสากลที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเป็นผลงานทางด้านวาดภาพหรือผลงานจิตรกรรม ยังมีผลงานศิลปะสากลที่เป็นผลงานทางด้านการปั้น หรือผลงานประติมากรรม และผลงานศิลปะสากลที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง หรือผลงานทางสถาปัตยกรรมและภาพพิมพ์ ดังจะได้กล่าวต่อไป

                ประติมากรรมสากล เป็นประติมากรรมที่อาศัยดัดแปลงจากธรรมชาติ และสร้างสรรค์ขึ้นใหม่อย่างอิสรเสรี วัสดุที่นำมาใช้มีมากมาย ควรเป็นประติมากรรมที่แข็งแรง ถาวร เช่น โลหะ ไม้ หิน ฯลฯ

                สถาปัตยกรรมสากล เป็นศิลปะการก่อสร้างอาคาร สิ่งก่อสร้าง การจัดและ/หรือตกแต่งบริเวณชุมชน หรือเมือง

                ภาพพิมพ์ (Graphic Art) เป็นศิลปะสากลที่มีคุณค่าตามความคิดสร้างสรรค์ ที่อาศัยพื้นฐานของการวาดเขียนเป็นหลักสำคัญประกอบเข้าด้วยกัน โดยการนำเทคนิคต่าง ๆ มาใช้ในการสร้างแม่พิมพ์และการนำหมึกหรือสีทาลงบนแม่พิมพ์ แล้วกดประทับลงบนวัตถุหรือสิ่งของที่ต้องการพิมพ์ จนเกิดเป็นผลงานศิลปะที่มีคุณค่าอีกลักษณะหนึ่ง





วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

สถาปัตยกรรมยุโรป 2

 



 
ตลอดหลายยุคสมัย ผู้คนได้ท้ายทายข้อจำกัดทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม เพื่อความพยายามที่จะได้ใกล้คิดกับพระเจ้ามากขึ้น มีบางกลุ่มพยายามหาประโยชน์ใช้สอยจากหอคอยในการทำเสาอากาศภัตตาคาร แต่สิ่งดึงดูดใจที่แท้จริงกลับมาจากความคิดที่บริสุทธิ์มากกว่านั้น
        
     หอคอยเป็นสิ่งที่แสดงถึงความทะเยอทยานของมนุษย์ และหอคอยที่โลกรักมากที่สุดคือ หอไอเฟล (Eiffel Tower) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นหอคอยที่มีความสูงเสียดฟ้า มีความงามสง่า รูปร่างอ่อนช้อย ซึ่งสะท้อนให้เห็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศส หอไอเฟลได้รับการออกแบบและก่อสร้างในปี ค.ศ.1839 มันคือผลงานชิ้นเอกในการฉลองการปฏิวัติฝรั่งเศสอันนอเลือดเมื่อ 100 ปีก่อนหน้า

        14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 ท่ามกลางความต้องการที่จะปฏิวัติ ชาวปารีสได้เข้าโจมตีชนชั้นสูง บุกยึกคุกบัสติล ซึ่งมีผู้มีความคิดขัดแยงทางการเมืองถูกคุมขังเอาไว้ ผู้รัก-ชาติได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นการสร้างพื้นฐานสำหรับการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยยุคใหม่

        อีก 1 ศตวรรษหลังการปฏิวัติ ความภาคภูมิใจของฝรั่งเศสถูกบั่นทอนด้วย ความพ่ายแพ้ของกองทัพต่อเยอรมัน ในปี 1870 และก็ ความคิดที่จะจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ จึงเป็นหนทางอันยิ่งใหญ่เพื่อลืมความปวดร้าว และ เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ ความร่ำรวยของประเทศ จึงจำเป็นที่ต้องมีผลงานศิลปะชิ้นเอกที่อวดแก่ฝูงชน และจากความสำเร็จในยุคอุตสาหกรรมจึงนำเสนอความสำเร็จทางวิศวกรรม นั่นคือ หอคอย

        หอคอยเหมือนเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดทางเทคโนโลยี ในอดีตไม่เคยมีใครสร้างหอคอยที่สูงกว่า 1,000 ฟุต หลายคนพยายามลอง แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกาก็มีการออกแบบไว้อยู่หลายแบบ แต่ก็ไม่เคยสร้างจริงขึ้นมา ฝรั่งเศสได้จัดการประกวดเพื่อออกแบบหอคอย แบบแรกถูกเสนอโดย เวอร์ริส คล็อกลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะวิศวกรของ กุสตาฟ ไอ-เฟล (Gustave Eiffel)

        กุสตาฟ ไอเฟล เป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส ชื่อเสียงของเขาเกิดจาก การออกแบบสะพานที่เต็มไปด้วยจินตนาการ เขาค้นคว้าเกี่ยวกับแนวคิดในการออกแบบด้วยโครงสร้างโลหะ การที่มี กุสตาฟ ไอเฟล เข้ามาร่วมงาน จึงเป็นเครื่องรับประกันในเรื่องเงินทุนสนับสนุน และความสำเร็จของงาน วิศวกรหนุ่มของ กุสตาฟ ไอเฟล 2 คน คือ เวอร์ริส คล็อกลิน และ เอมิล นูลจิเย เริ่มแนวคิดในการสร้างหอคอยสูง 300 เมตร สำหรับงานแสดงสินค้าในปี ค.ศ.1890 ในปารีสเขาเริ่มร่างแบบโครงสร้างของหอ-
คอยอย่างคร่าวๆ และขอให้สถาปนิกชื่อ
สตีเฟน สเตาว์เธอร์ ออกแบบส่วนตกแต่งเพื่อเติม ซึ่งมีลักษณะเป็นช่อดอกไม้ โค้ง และมีปติมากรรมเล็กๆ น้อยๆ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดทางสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1887 ว่า สามารถสัมผัสกับท้องฟ้าในระดับที่เป็นไปไม่ได้ คือ 1,000 ฟุต

        กุสตาฟ ไอเฟล ได้เห็นแบบแปลนและอนุมัติ เขาได้สนใจแนวคิดเกี่ยวกับหอคอยนี้ และได้ออกแบบส่วนตกแต่งเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเข้าไปด้วย การมีชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล อยู่ในโครงการ ทุกคนรู้ผลลัพธ์ของการแข่งขันนี้ การมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองและสังคมของกุสตาฟ ไอเฟล ทำให้มีความพร้อมที่จะผลักดันให้โครงการผ่านหน่วยงานปกครองของปารีสได้อย่างรวดเร็ว และทำให้โครงการจากแบบแปลนสำเร็จเป็นจริงได้ หอคอยซึ่งออกแบบจากความก้าวหน้าในยุคอุตสาหกรรม เป็น งานที่มีความท้าทาทางวิศวกรรม และ กุสตาฟ ไอเฟล จะได้แสดงให้เห็นถึงความความคิดสร้างสรรค์ของเขาที่เคยใช้ในการออกแบบมาแล้ว

        28 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1887 กุสตาฟ ไอเฟล ได้เชิญแขกมากมายมาเป็นพยานในการก่อสร้าง เขาอายุ 53 ปี และหอคอยจะเป็นความสำเร็จที่สมบูรณ์แบบของเขา ในขณะที่พิธีการเริ่มขึ้น วิศวกร 50 คนต้องช่วยกันร่างแบบ จำนวน 5,300 แผ่นสำหรับคนงาน 132 คน ใช้ในพื้นที่ก่อสร้าง ต้องใช้เวลา 4 เดือน ในการทำฐานรากสำหรับขาของหอ-
คอย
เสา 2 ต้น ถูกติดตั้งบนฐานคอนกรีตหนา 6 ฟุตครึ่ง ที่ความลึก 23 ฟุตจากระดับดิน และมีขา 2 ข้างที่ใกล้กับแม่น้ำแซนมาก จึงต้องใช้เขื่อนโลหะกันน้ำ ป้องกันในขณะที่ทำการเทคอนกรีตบนพื้นที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำ